วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

สรุปงานนำเสนอ

สรุปการนำเสนอ


explanation     เป็นการอธิบาย ให้แก่ผู้อ่าน
this  is  so  because          (ทีเป็นดังนี้ก็เพราะว่า)
the  cause of this is that     (สาเหตุของสิ่งนี้ก็คือ)
one of the reason is           (เหตุผลประการหนึ่งก็คือ)
It means that                    (นั่นหมายความว่า)
the fact is that                   (ความจริงก็คือว่า)
the reason for this is that   (เหตุผลสำหรับสิ่งนี้ก็คือ)


Exempliflcation     การยกตัวอย่างคำบ่งชี้ที่ช่วยบอก
for example      เช่น
for instant          สำหรับทันที
that is the following      ที่เป็นดังต่อไปนี้
for one thing        สำหรับสิ่งหนึ่งที่
for another        อีก
specifically       เฉพาะ
and such as      และเป็นเช่น
 Definition   คำนิยาม
Main idea : บางครั้งคุณต้องการที่จะอธิบายสิ่งทีคุณไม่รู้จักวลีที่เรียกว่าคำนิยามคำและวลีต่อไปนี้มักใช้ในความหมายตามวรรค เช่น………...........ตามความหมายด้านล่าง
Details : is/are หมายถึง เป็น,อยู่,คือ
is/are called หมายถึง ถูกเรียกว่า
is/are known as หมายถึง ถูกเรียกว่าเป็น
is/are defined as หมายถึง ถูกกำหนดเป็น
can be defined as หมายถึง สามารถกำหนดเป็น
is meant by หมายถึง ที่มีขึ้นโดย
refer to หมายถึง อ้างถึง
constitute and is consider to be หมายถึง ประกอบและมีการพิจารณาเป็น

comparison and contrast     เป็นการอธิบายความเหมือนและความแตกต่างของสิ่งต่างๆตัวบ่งชี้ ได้แก่
Similarly                เหมือน
In the same say       พูดอย่างเดียวกัน
Likewise                เช่นเดียวกัน
Correspondingly     อย่างเหมือนกัน
Like                      ชอบ เหมือนกัน
On the contrary     ในทางตรงกันข้าม
Contary to            ตรงกันข้ามกับ
In contrast             แตกต่างกัน
In contrast to         ตรงกันข้ามกับ
Unlike                   ซึ่งแตกต่าง , แตกต่างจาก
In opposition to     ข้อโต้แย้ง




วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

 การใช้ Context Clues (การเดาความหมายจากบริบท)

Context Clues การเดาความหมายจากบริบท
context = ปริบทหรือบริบท , clue = ตัวชี้แนะ อุปสรรคที่มักพบบ่อยๆ
ในการอ่านภาษาอังกฤษ ก็คือ การไม่รู้ความหมายของคำศัพท์ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจข้อความที่อ่าน
ไม่สามารถตีความโจทย์ข้อสอบได้ อ่านไม่เข้าใจ ทำข้อสอบได้ไม่ดี วิธีที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ก็คือ ต้องรู้ความหมายศัพท์และสามารถนำไปใช้ได้ แต่การรู้ความหมายศัพท์โดยไม่ต้องเปิดพจนานุกรม (Dictionary) นั้น ทำได้อย่างไร คำตอบก็คือ นักเรียนมีความจำเป็นที่จะต้องเดาความหมายนั้นจากบริบท (Context)
ซึ่งหมายถึง ข้อความ หรือศัพท์หลายๆ คำซึ่งแวดล้อมคำศัพท์ตัวที่เราไม่รู้ความหมาย แล้วทำให้เดาความหมายของศัพท์ที่ไม่รู้ได้ บริบทเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเข้าใจคำศัพท์ เป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะ ความหมายของคำ คำใดคำหนึ่งนั้นจะต้องขึ้นอยู่กับคำอื่นๆ ซึ่งอยู่ข้างเคียงด้วย เช่น คำว่า "about" We know about that. (about = concerning) แต่ถ้า It is about six o'clock. (about = close to) เป็นต้น
ผู้อ่านสามารถตีความหมายได้โดยอาศัยสิ่งแนะที่อยู่ในปริบท (Context Clues) สิ่งชี้แนะหรือตัวสัญญาณ (Clues / signal words) สามารถช่วยชี้แนะความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยให้กับผู้อ่านได้อย่างถูกต้องตรงตามปริบท สิ่งชี้แนะหรือตัวสัญญาณที่สำคัญได้แก่
1. Definition type (การให้คำนิยาม)
2. Restatement type (การกล่าวซ้ำ)
3. Example type (การยกตัวอย่าง)
4. Comparison or Contrast type (การเปรียบเทียบ หรือ บอกความแตกต่าง)
5. Cause and Effect relationship type (การใช้ความสัมพันธ์ในเรื่องเหตุและผล)
6. Explanation type (การอธิบาย)
7. Modifier type (การใช้ตัวขยาย)
8. Subjective type (การใช้เนื้อเรื่อง)
9. Familiar type (การใช้คำที่คุ้นเคยที่มีความหมายใกล้เคียง)
Definition type
เป็นชนิดของสิ่งแนะที่ชี้แสดงความหมายหรือนิยามคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
ซึ่งผู้อ่านสามารถสังเกตการนิยามความหมายของคำศัพท์ได้โดยการดูที่ตัวชี้แนะ หรือคำสัญญาณ
(clues signal words) ที่ปรากฏอยู่ในข้อความนั้นๆ ตัวชี้แนะหรือคำสัญญาณ ได้แก่

verb "to be" be called
mean(s/ed) called
consist of may be seen as
refer to can be defined as
may be described as can be taught of
what this means is
คำชี้แนะหรือคำสัญญาณดังกล่าวมาข้างต้นนี้ มีความหมายในทำนองเดียวกัน นั่นคือ
แปลว่า "คือ , หมายถึง , หมายความว่า, เรียกว่า"
ตัวอย่าง- A premise is a statement of the relationship between a cause and a consequence.
อธิบาย premise เป็นคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยis เป็นคำชี้แนะ หรือคำสัญญาณa statement of the relationship เป็นคำนิยามหรือความหมายของคำว่า premiseดังนั้น premise ก็คือ ข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลลัพธ์- People who study the stars are called astronomers.
อธิบาย astronomers เป็นคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยare called เป็นคำชี้แนะหรือคำสัญญาณpeople who study the stars เป็นคำนิยามหรือความหมายของคำว่า astronomersดังนั้น astronomers ก็คือ
คนที่ศึกษาเรื่องดวงดาว หรือนักดาราศาสตร์ นั่นเอง- A committee may be defined as any group interacting in regard to a common purpose.
อธิบาย committee เป็นคำที่ไม่คุ้นเคยmay be defined as เป็นคำสัญญาณ หรือตัวชี้แนะany group interacting in reagard to common purpose เป็นคำนิยามหรือความหมายของคำว่า committee ดังนั้น committee ก็คือ กลุ่ม หรือคณะบุคคลที่กระทำการใดๆ โดยมีจุดประสงค์ร่วมกัน
Restatement type
เป็นชนิดของตัวิชี้แนะที่ผู้เขียนบอกความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยด้วยการกล่าวซ้ำความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยนั้น โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายขึ้น พูดให้ง่ายขึ้น
การสังเกต restatement หรือการกล่าวซ้ำความหมายของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย สามารถดูได้จากตัวชี้แนะหรือคำสัญญาณ (clues / signal words) และเครื่องหมายวรรคตอน (punctuation) ดังนี้
ตัวชี้แนะ หรือคำสัญญาณ ได้แก่or( หรือ ), that is(นั่นคือ), that is to say / i.e. (นั่นคือ), in other word(กล่าวอีกนัยนึงคือ), to put in another way (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ)
หมายเหตุ --- i.e. เป็นภาษาละติน
มาจาก id est แปลว่า that is to say
เครื่องหมายวรรคตอน
, ............................. เครื่องหมาย comma,.............................., เครื่องหมาย commas- เครื่องหมาย dash- .............................. - เครื่องหมาย dashes(.............................) เครื่องหมายวงเล็บหรือ parentheses
Example type
เป็นชนิดของสิ่งชี้แนะที่ผู้เขียนชี้แนะความหมายของคำศัพท์ไม่คุ้นเคยด้วยการให้หรือ
ยกตัวอย่างขึ้นมาประกอบความหมาย ของคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยนั้น โดยปกติก่อนจะยกตัวอย่างขึ้นมาประกอบเพื่อชี้แสดงความหมายของศัพท์ไม่คุ้นเคย ผู้เขียนมักจะให้คำชี้แนะหรือคำสัญญาณ
หรืออาจเป็นเครื่องหมายวรรคตอน ได้แก่
ตัวชี้แนะหรือคำสัญญาณ
for example / e.g.for instancesuch as = ตัวอย่างเช่น, ยกตัวอย่างsuch ............aslike
หมายเหตุ : e.g. เป็นภาษาละติน คือ exampli gratia แปลว่า for example
เครื่องหมายวรรคตอน
, เครื่องหมาย comma: เครื่องหมาย colon- เครื่องหมาย dash
Comparison or Contrast typeเป็นชนิดของสิ่งแนะที่ผู้เขียนชี้แนะความหมายด้วยการเปรียบเทียบ (Comparison) หรือการแย้งความ (Contrast) โดยปกติ ผู้เขียนมักจะให้ตัวชี้แนะหรือคำสัญญาณแสดงการเปรียบเทียบ หรือแสดงการขัดแย้งในทางตรงกันข้ามกันมาภายในข้อความนั้นๆ
ตัวชี้แนะหรือคำสัญญาณที่แสดงการเปรียบเทียบ
as / as.................as เหมือนกับ
like / alike เหมือนกับ
similar to เหมือนกับ ,คล้ายกับ
resemble (v) เหมือนกับ
similarily (adv) ในทำนองเดียวกัน
likewise (adv) ในทำนองเดียวกัน
correspondingly (adv) ในทำนองเดียวกัน
in the same way (adv) ในทำนองเดียวกัน
in like manner (adv) ในทำนองเดียวกัน
comparing เปรียบเทียบกับ
compare with เปรียบเทียบกับ
as if / as though ราวกับว่า
ตัวชี้แนะหรือคำสัญญาณที่แสดงการขัดแย้ง
but / yet แต่however / nevertherless แต่อย่างไรก็ตาม
though / although/ even though แม้ว่า
while / whereas ในขณะที่ (แสดงการแย้งกัน)
on the other hand ในทางตรงกันข้าม
on the contrary ในทางตรงกันข้าม
in contrast ในทางตรงข้าม
conversely ในทางกลับกัน
in spite of / despite แม้ว่า

Quiz 2 : Dictionary


(1)1.a Which of these can you eat ?
- a. a baguette
(2)1.b.Where could you find an inbox ?
- a.container on an office desk that is used to hold letters, documents etc that you must deal.


(3)1.c.What does SUV stand for ?
-a type of vehicle that is bigger than a car and is made for travelling.


(4)2.b Where do you book in - at a library or a hotel ?
-booking hotel, we went straight  the beach.


(5)5.a Is the word hub a noun or a verb?
-  hub  เป็น  noun
(6)5.c what is past tense of teach?
-  taught.
(7)6 a.How do you spell the plural allergy?
- al - ler - gy.







วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

Dictionary Page


dictionary ใช้สำหรับหาความหมายของศัพท์ ในdictionary แบ่งหมวดไว้เป็นตัวอักษร A-Z

ส่วนประกอบของ Dictionary มี 7 ส่วน
 1.Headword คำหลักคำหัวบทแทรกหรือบางครั้งคำพูดติดปากคือคำที่อยู่ภายใต้ที่ตั้งของที่เกี่ยวข้อง

2.compound word คําประสมจะทำเมื่อทั้งสองคำจะเข้าร่วมในรูปแบบคำใหม่

      3. world class  เป็นการบ่งบอกถึงลักษณะ หน้าที่ ของคำศัพท์นั่นว่าเป็นอะไร  เช่น  noun , verb , adj.


     4.example using หัวข้อบทเรียน : แนะนำตัวอย่าง (โดยใช้"ตัวอย่างเช่น"และวลีเช่น"ตัวอย่างเช่น")


     5.phonetic type เกี่ยวกับเสียงพูด เกี่ยวกับการออกเสียง ซึ่งมีการออกเสียงตรงกัน


     6.definition / meaning คำจำกัดความ คำนิยาม การกำหนด ความหมายมากกว่า  1  ความหมายก็ได้    
 7. 
7.entry เป็นข้อมูล ขอบเขต ของความหมายของคำศัพท์นั้นๆ
7



Roots and affixes

Roots and affixes 
1.     Root (รากคำ) คือ ส่วนที่เป็นความหมายหลักของคำ อาจอยู่ตำแหน่งใดของคำก็ได้Affix อาจใช้เติมคำที่อยู่ได้ตามลำพัง เช่น drink คำที่มาจากภาษาลาตินและกรีก ซึ่งนำมาใช้ประกอบคำในภาษา เรียกว่า รากศัทพ์ (root) คำเหล่านี้ไม่อาจอยู่ตามลำพังได้ต้องผสมกับ prefix, suffixหรือทั้ง prefix และ suffix เสมอPrefix คือ คำที่ใช้นำหน้าคำอื่นเพื่อเปลี่ยนแปลงความหมายของคำเดิม เช่น prehistory เป็น prefix แปลว่า ก่อน เอาเติมหน้าคำว่า history ที่แปลว่าประวัติศาสตร์ ให้เปลี่ยนความหมายของคำว่า history เลยกลายเป็น ก่อนประวัติศาสตร์prefix แบ่งได้ตามความหมาย
1)   แสดงจำนวน2) แสดงความไม่ใช่3) แสดงเวลา ก่อน หลัง อีก4) แสดงทิศทางหรือตำแหน่ง เช่น เหนือ ข้างบน ข้างล่าง ข้าม ข้างหน้า ข้างหลัง รอบๆSuffix เป็นพยางค์ที่ใช้ต่อท้ายคำเพื่อเปลี่ยนความหมาย นอกจากจะเปลี่ยนความหมายแล้วยังเปลี่ยนประเภทของคำด้วย เช่น adjective ไปเป็น verb, adverb หรือ nounRoot กับ affixesMorphemes (minimal units of meaning) are of two basic kinds: roots and affixes .Morphemes (หน่วยน้อยที่สุดของความหมาย) เป็นสองชนิดพื้นฐานรากและ affixes While there is not an absolutely sharp dividing line between them, due to the natural, gradual historical progression from root to affix, there are various properties that typically cluster together, thus allowing us to distinguish the two types. ในขณะที่ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างพวกเขาอย่างคมชัดเนื่องจากธรรมชาติความก้าวหน้าทางประวัติศาสตร์ค่อยๆจากรากติดมีคุณสมบัติต่างๆที่กลุ่มมักจะรวมกันจึงทำให้เราสามารถแยกแยะความแตกต่างทั้งสองประเภท For most morphemes, it is clear which class they belong in. สำหรับ morphemes ส่วนใหญ่เป็นที่ชัดเจนซึ่งพวกเขาเป็นของชั้นProperties of roots: สมบัติของราก :main part of word ส่วนหนึ่งของคำหลักmust be at least one in a word ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งในคำin English, limited to two in a word (simple words have one, compound words have two); where roots are bound, as in Latin or Greek, more can occur in a word, but the number of roots in a particular word is generally small; ในภาษาอังกฤษ จำกัด สองในคำ (คำง่ายๆมีหนึ่งคำสารมีสอง) ที่รากจะผูกดังเช่นในลาตินหรือกรีกมากขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้ในคำว่า แต่จำนวนของรากในคำเฉพาะโดยทั่วไป เล็ก ๆ น้อย ๆcan occur independently ( free roots )--although bound roots , particularly classical, occur สามารถเกิดขึ้นได้อย่างอิสระ (รากฟรี) -- แต่รากผูก, คลาสสิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นtend to have richer, more specific semantic content มักจะมี richer, เนื้อหาความหมายเฉพาะเจาะจงมากขึ้นposition is relatively free with respect to other roots (cf. photograph vs. telephoto )ตำแหน่งไม่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างที่เกี่ยวกับรากอื่น ๆ (เทียบกับเลนส์ถ่ายภาพ)Properties of affixes: คุณสมบัติของ affixes :subordinate part of word ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาของคำnot necessarily present--some words occur without any ไม่จำเป็นต้องนำเสนอ -- คำบางคำเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีmultiple affixes can occur in a word (eg in-divis-abil-ity) affixes สามารถเกิดขึ้นได้ในหลาย ๆ คำ (เช่น in - divis - ity - abil)are dependent (bound) elements (where independent form found, generally to some degree dissociated from the bound version) องค์ประกอบ (ผูก) ขึ้นอยู่ (ที่มีรูปแบบอิสระที่พบโดยทั่วไปในระดับเกิดการแตกตัวอย่างจากรุ่นผูกบาง) เป็นhave more "schematic" (non-specific) content; often grammar-like function มีเนื้อหาเพิ่มเติม"แผนภาพ"(ไม่เฉพาะเจาะจง); มักจะทำงานไวยากรณ์เหมือนcan either precede or follow their roots ( prefixes andsuffixes,respectively)สามารถนำหน้าหรือตามลำดับ) ของพวกเขาราก (คำนำหน้าและคำต่อท้าย,position for a given affix with respect to root is fixed ตำแหน่งสำหรับติดให้ที่เกี่ยวกับรากได้รับการแก้ไข


เว็บไซร์ที่เกี่ยวข้อง